วันอังคารที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2561
วันอังคารที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2561
ราพันเซล
CR:wikipedia.2561.ราพันเซล.(ออนไลน์).
สืบค้นวันที่24/มกราคม/2561
https://th.wikipedia.org/wiki/ราพันเซล
ราพันเซล (เยอรมัน: Rapunzel) เป็นเทพนิยายเยอรมันในงานสะสมที่พี่น้องตระกูลกริมม์รวบรวม ตีพิมพ์ครั้งแรกใน ค.ศ. 1812 โดยเป็นส่วนหนึ่งของนิทานของเด็กและครัวเรือน (Children's and Household Tales) นิยายของพี่น้องตระกูลกริมม์เป็นการดัดแปลงของเทพนิยาย "ราพันเซล" โดย ฟรีดริช ชุลซ์ ซึ่งตีพิมพ์ใน ค.ศ. 1790 ฉบับของชุลซ์อิงตาม แปร์ซีแน็ต (Persinette) โดย ชาร์แล็ต-โรซ เดอ กอม็อง เดอ ลา ฟอส (Charlotte-Rose de Caumont de La Force) ซึ่งตีพิมพ์ครั้งแรกใน ค.ศ. 1698ซึ่งได้รับอิทธิพลจากนิทานก่อนหน้านั้นอีก คือ เปโตรซีเนลลา (Petrosinella) โดย จีอามบัตติสตา บาซีเล (Giambattista Basile) ซึ่งตีพิมพ์ใน ค.ศ. 1634 อีกทอดหนึ่งโครงเรื่องของราพันเซลถูกใช้และล้อในสื่อต่าง ๆ และบาทที่ขึ้นชื่อที่สุด ("Rapunzel, Rapunzel, let down your hair", ท. ราพันเซล ราพันเซล ปล่อยผมเจ้าลงมา) เป็นสำนวนในวัฒนธรรมสมัยนิยม
เนื้อเรื่อง
มีสามีและภรรยาโดดเดี่ยวคู่หนึ่ง อยากมีบุตรสักคน วันหนึ่ง พวกเขาทราบว่าภรรยาจะมีลูก สามีเป็นสุขมาก จนสัญญาว่าจะทำอะไรก็ได้ที่จะโปรดภรรยาเขา ทุกๆ วัน เมื่อยามที่ภรรยารอลูกเกิด เธอก็มองสวนงดงามของบ้านข้างๆ มันเป็นสวนของแม่มดที่มีพลังอำนาจมหาศาลตนหนึ่ง สวนนั้นเต็มไปด้วยดอกราพันเซล และภรรยาใคร่อยากทานสลัดแสนอร่อยที่ใช้ดอกนั้นเป็นวัตถุดิบหลัก แต่เธอและสามีเธอจน และดอกราพันเซลเป็นสิ่งที่ทำให้เธอนึกถึงความจนเสมอ เรื่องนี้ทำให้เธอเป็นทุกข์มาก สามีไม่สามารถทนมองภรรยาเขาเศร้า คืนนั้น เขาแอบเข้าไปในสวนของแม่มด และเด็ดเอาราพันเซลมาส่วนหนึ่ง เขานำพวกมันมาให้ภรรยาเขา เธอทานสลัดดอกราพันเซลของเธอ และโปรดมาก แต่ในไม่ช้า เธอก็ใคร่อยากได้อีกครั้งที่สอง สามีแอบเข้าไปในสวนนั้น แต่ครั้งนี้ แม่มดจับได้ สามีอ้อนวอนขออภัยโทษ โดยอ้างว่าที่ทำไป จะเพราะว่าทำให้ภรรยาที่มีครรภ์มีความสุข ซึ่งเธอใคร่สลัดดอกราพันเซล แม่มดไตร่ตรองสักพักหนึ่ง และบอกสามีว่าจะเด็ดเท่าไรก็ได้ แต่มีข้อแม้ว่าเมื่อภรรยาเขาคลอดลูก สามีต้องนำบุตรมามอบให้แทน สามีคิดว่าแม่มดคงจะลืม เขาเลยตอบตกลง แต่แม่มดไม่ได้ลืม เมื่อทารกเกิด เธอจะเอาไป แม่มดตั้งชื่อทารกว่า ราพันเซล และเลี้ยงเธอเหมือนกับลูกสาวตัวเองราพันเซลเติบโตด้วยความสวยขึ้นทุกๆ ปี แม่มดคิดว่าราพันเซลต้องเป็นของของเธอผู้เดียว เธอจึงนำราพันเซลไปขังในหอสูง ที่ไม่มีประตู หรือบันได แม่มดแอบขังลูกเลี้ยงเธอจากโลกภายนอกไว้เป็นปีๆ แม่มดระมัดระวังมากที่เธอไม่ยอมแม้กระทั่งสร้างบันไดที่ปีนได้ แม่มดใช้วิธีอื่นแทน โดยเรียก "ราพันเซล ราพันเซล ปล่อยผมเธอลงมา" ราพันเซลก็ย่อมจะปล่อยเปียสีทองของเธอลงมาจากหอสูง เพื่อให้แม่มดปีนขึ้นได้ ราพันเซลรู้สึกเหงาในหอมาก เธอมีแค่นกทั้งหลายที่เป็นมิตรเธอและฟังเธอร้องเพลงวันหนึ่ง เจ้าชายผู้หนึ่งได้ยินเสียงราพันเซลร้องเพลง เขาจึงขี่ม้าไปที่หอ และมองขึ้นที่โฉมงามในหน้าต่าง ความรักเกิดขึ้นในหัวใจเขา เจ้าชายกลับมาฟังราพันเซลร้องเพลงทุกๆ วัน เขาพยายามที่ค้นหาวิธีหนึ่งที่จะบอกเธอเรื่องความรักของเขา เมื่อเขารอ เขาได้ยินแม่มดเรียกราพันเซล และเห็นเธอปีนผมเปียขึ้น วันถัดไป เจ้าชายปลอมเสียงเรียกแบบแม่มดเจ้าชายปีนขึ้นไปข้างในหอ ราพันเซลตกใจ เธอไม่เคยเจอใครมาก่อนนอกจากแม่มด แต่เจ้าชายพูดกับเธอด้วยความอ่อนโยน เขาบอกเธอว่าเขาได้ตกหลุมรักกับเธอ ราพันเซลฟังด้วยหัวใจเธอ เธอยื่นมือเธอให้เจ้าชายในการสมรส เจ้าชายเยี่ยมราพันเซลทุกๆ บ่าย และมอบดอกกุหลาบให้ภรรยาเขาทุกครั้ง ทั้งสองวางแผนในการหลบหนีออกจากหอ ราพันเซลซ่อนแอบดอกกุหลาบทั้งหลาย โดยแยกดอกออกเป็นกลีบๆ ไว้ในชุดเธอวันหนึ่ง เมื่อแม่มดมาเยี่ยม กลีบดอกกุหลาบได้ร่วงหล่นออกมาจากชุดราพันเซล แม่มดเห็นและได้รับรู้การคบสู่ของเจ้าชาย แม่มดจึงตัดผมเปียราพันเซล และส่งเธอไปอยู่ในป่า คืนนั้น เมื่อเจ้าชายเรียก แม่มดปล่อยผมเปียราพันเซลลง ระหว่างที่เจ้าชายกำลังปีนขึ้น เขาได้พบว่าภรรยาเขาไม่อยู่แล้ว แม่มดจึงปล่อยผมเปียซึ่งทำให้เจ้าชายตกลงจากหอสูงเจ้าชายร่วงตกลงบนขวากหนาม ที่ตำบาดเฉียดลูกตาของเขา ซึ่งทำให้ตาเขาบอด เมื่อไม่มีตาที่มองได้และภรรยาแสนรัก เขาได้ท่องไปที่ที่ความโชคร้ายจะพาไป หลายฤดูผ่านไป และแล้ววันหนึ่งฤดูใบไม้ผลิ เจ้าชายได้ยินเสียงผู้หญิงร้องเพลง เขาเดินตามเสียงเพลงนั้น เมื่อเขาผู้ที่ร่ำร้อง เขาก็ได้พบราพันเซลและเธอมีลูกสองคนแล้ว ซึ่งเป็นลูกของเขาทั้งสองนั้นเอง ราพันเซลได้คลอดฝาแฝดของเจ้าชายในป่าโดยลำพัง ราพันเซลร้องไห้ด้วยความสุข และน้ำตาเธอที่เปี่ยมไปด้วยรักแท้ได้รักษาตาของสามีเธอ อำนาจร้ายของแม่มดได้จบลง
ในที่สุด ครอบครัวได้หลุดจากความโศกเศร้าและความอ้างว้าง พวกเขาได้อาศัยอยู่ในราชอาณาจักรของเจ้าชาย และเติมเต็มชีวิตพวกเขาที่เหลือไปด้วยรักและเสียงหัวเราะ
โฟรเซน
CR:wikipedia.2561.Frozen.(ออนไน์).
สืบค้นวันที่24/มกราคม/2561
https://th.wikipedia.org/wiki/ผจญภัยแดนคำสาปราชินีหิมะ
ผจญภัยแดนคำสาปราชินีหิมะ หรือ โฟรเซน (อังกฤษ: Frozen) เป็นภาพยนตร์เพลงแนวแฟนตาซี-คอเมดีประเภทคอมพิวเตอร์แอนิเมชันสามมิติในปี พ.ศ. 2556 อำนวยการสร้างโดยวอลต์ดิสนีย์แอนิเมชันสตูดิโอส์และจัดจำหน่ายโดยวอลท์ ดิสนีย์ พิคเจอร์ส.[4] ภาพยนตร์เรื่องนี้ซึ่งได้แรงบันดาลใจจากเรื่องเล่าเรื่องราชินีหิมะของฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์เซน นับเป็นภาพยนตร์แอนิเมชันลำดับที่ห้าสิบสามของภาพยนตร์ในชุดแอนิเมชันคลาสสิกของวอลท์ดิสนีย์ โดยเล่าเรื่องเจ้าหญิงผู้กล้าที่ผจญภัยไปกับคนขายน้ำแข็ง กวางเรนเดียร์ และมนุษย์หิมะผู้อับโชค เพื่อค้นหาพี่สาวที่ห่างเหินซึ่งมีพลังน้ำแข็งที่ทำให้อาณาจักรตกอยู่ภายใต้ฤดูหนาวชั่วนิรันดร์โดยไม่ได้ตั้งใจ
ภาพยนตร์เรื่องนี้ผ่านช่วงการเรียบเรียงร่างบทภาพยนตร์มาหลายปีก่อนที่จะได้รับการอนุมัติให้เดินหน้าต่อใน พ.ศ. 2554 โดยมีเจนนิเฟอร์ ลี เป็นผู้เขียนบท และลีกับคริส บัก เป็นผู้กำกับ นอกจากนี้ยังได้ คริสเตน เบลล์, ไอดินา แมนเซล, โจนาธาน กรอฟฟ์, จอร์ช แกด และซานติโน่ ฟอนทาน่า มาเป็นผู้พากษ์เสียงตัวละคร คริสโตฟ เบค ผู้ร่วมงานกับดิสนีย์ในภาพยนตร์สั้น Paperman เป็นผู้เรียบเรียงทำนองออร์เคสตรา และโรเบิร์ต โลเปซ กับคริสเตน แอนเดอร์สัน-โลเปซ คู่สามีภรรยานักแต่งเพลงเป็นผู้แต่งเพลงประกอบเรื่องโฟรเซนเปิดรอบปฐมทัศน์ที่โรงภาพยนตร์เอลแคปิตันเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2556 และออกฉายเป็นการทั่วไปในวันที่ 27 พฤศจิกายน โดยได้รับเสียงวิจารณ์ในแง่บวกอย่างล้นหลามทั้งจากนักวิจารณ์และผู้ชม นักวิจารณ์บางคนเห็นว่าโฟรเซนเป็นภาพยนตร์แอนิเมชันและภาพยนตร์เพลงที่ดีที่สุดตั้งแต่ยุคฟื้นฟูของดิสนีย์ ภาพยนตร์ยังทำรายได้อย่างล้นหลาม ได้รับรายได้กว่า $1.2 พันล้านทั่วโลก โดยเป็นรายได้จากสหรัฐอเมริกาและแคนาดา $400 ล้าน และอีก $247 ล้านในญี่ปุ่น ได้รับการขนานนามว่าเป็นภาพยนตร์แอนิเมชันที่ทำเงินสูงสุดตลอดกาล, ภาพยนตร์ที่ทำเงินสูงสุดตลอดกาลลำดับห้า, ภาพยนตร์ที่ทำเงินสูงสุดในปี 2556 และภาพยนตร์ที่ทำเงินสูงสุดตลอดกาลลำดับสามในญี่ปุ่น โฟรเซนได้รับรางวัลออสการ์ ในสาขาภาพยนตร์แอนิเมชันยอดเยี่ยม และในสาขาเพลงประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม (เพลงเล็ทอิทโก), รางวัลลูกโลกทองคำสาขาภาพยนตร์แอนิเมชันยอดเยี่ยม รางวัลบาฟต้าสาขาภาพยนตร์แอนิเมชันยอดเยี่ยม[10]รางวัลแอนนีห้ารางวัล (รวมทั้งภาพยนตร์แอนิเมชันยอดเยี่ยม) และรางวัลนักวิจารณ์คัดสรรในสาขาภาพยนตร์แอนิเมชันยอดเยี่ยม และเพลงประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม (เพลงเล็ทอิทโก)
เนื้อเรื่อง
ในอาณาจักรแห่งเอเรนเดลล์ พระราชาและพระราชินีมีพระธิดาสองคน เจ้าหญิงเอลซ่า พระธิดาองค์โต และเจ้าหญิงแอนนา พระธิดาองค์เล็ก จากเจ้าหญิงทั้งสองคน เอลซ่าเกิดมาพร้อมความวิเศษในการเสกน้ำแข็งออกมาได้ดังใจสั่ง คืนหนึ่ง อันนาปลุกเอลซ่าให้มาเล่นด้วยกัน ขณะที่เอลซ่าและอันนากำลังเล่นกำลังเล่นสนุกสนานกับพลังวิเศษนี้ พลังหิมะของเอลซ่าถูกเสกเข้าที่หัวของอันนาด้วยความไม่ตั้งใจ อันนาหมดสติ และเส้นผมส่วนหนึ่งของเธอเปลี่ยนเป็นสีขาว พระราชาและพระราชินีรีบพาเจ้าหญิงทั้งสองไปยังหุบเขาอันเป็นที่อยู่ของเผ่าโทรลล์ผู้วิเศษเพื่อขอความช่วยเหลือ ในขณะที่อันนายังหมดสติอยู่นั้น ปู่แพ็บบี้ โทรลล์เฒ่าผู้นำเผ่า กล่าวว่าโชคดีที่เธอถูกพลังแค่ที่หัว แต่หากเป็นหัวใจแล้วจะต้องแย่แน่ๆ แพบบี้ได้ลบความทรงจำของอันนาเกี่ยวกับพลังของเอลซ่าออก เหลือทิ้งไว้แต่ความสนุกสนานของทั้งสองพี่น้อง และเตือนเอลซ่าว่าพลังของเธอจะเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ เธอต้องหัดที่จะควบคุมพลังนี้ให้ได้เมื่อกลับสู่พระราชวัง เพื่อซ่อนเรื่องนี้เป็นความลับ พระราชาทรงสั่งให้มีการปิดประตูวัง ไม่ให้บุคคลทั้งภายนอกและภายในเข้าออก สองพี่น้องต้องถูกเลี้ยงดูแยกจากกัน การควบคุมพลังของเอลซ่านับวันมีแต่จะแย่ลงเรื่อยๆ พระราชาต้องมอบถุงมือพิเศษให้เอลซ่า เพื่อให้เธอควบคุมพลังของเธอได้ง่ายขึ้น ในขณะที่อันนาแม้จะได้ใช้ชีวิตอย่างปกติธรรมดา แต่ก็ต้องอยู่กับโดดเดี่ยวตลอดหลายปี จากการที่เอลซ่าไม่ยอมพูดคุยกับเธอ แม้เธอจะยังจดจำความสนุกสนานที่เคยมีด้วยกันตอนเด็กๆได้ จนกระทั่งจุดพลิกผันมาถึงชีวิตของทั้งสองเมื่อพระราชาและพระราชินีทรงสิ้นพระชนม์อย่างกระทันหันขณะเดินทางออกทะเล
สามปีหลังจากกการสิ้นพระชนม์ของพระราชาและพระราชินี เอลซ่าก็มีมีอายุครบกำหนดที่จะเข้าพิธีราชาภิเษก ในวันพิธีนั้น ประตูวังจึงได้เปิดออกหลังจากปิดมานานหลายปี อันนาซึ่งใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวมานานจึงออกจากวังเพื่อไปสำรวจบ้านเมือง ก่อนจะได้เจอกับเจ้าชายฮานส์ บุตรชายคนที่สิบสามของพระราชาแห่งหมู่เกาะทะเลใต้ และด้วยใบหน้าที่หล่อเหลาของเขา ทำให้อันนาตกหลุมรักฮานส์อย่างรวดเร็ว ส่วนเอลซ่าเธอเกรงว่าเธอจะปล่อยพลังของเธอออกมาในงานราชาภิเษก และเธอพยายามควบคุมมันไว้จนได้ที่งานเลี้ยงหลังพิธี อันนาและเอลซ่าได้พูดคุยต่อหน้ากันเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี ทุกอย่างดูเหมือนจะดีขึ้น ทว่าเพียงครู่ต่อมาเมื่ออันนาได้พาฮานส์มาพบเอลซ่า เพื่อขออนุญาตจากเอลซ่าให้ทั้งสองแต่งงานกัน เอลซ่าไม่อนุญาต และให้เหตุผลว่าอันนาจะแต่งงานกับชายหนุ่มที่เพิ่งเจอกันแค่วันเดียวไม่ได้ และสองพี่น้องเริ่มทะเลาะกัน อันนาดึงถุงมือของเอลซ่าออก ด้วยความกดดัน เอลซ่าไม่สามารถควบคุมพลังวิเศษของเธอได้ และเสกน้ำแข็งออกมาต่อหน้าผู้คนทั้งอาณาจักร ดยุคแห่งวีเซิลตัน ซึ่งเป็นหนึ่งในแขกต่างเมืองที่มาร่วมงาน ตะโกนใส่เอลซ่าว่าเธอคือปีศาจ เธอจึงหวาดกลัวและวิ่งหนีออกไปจากเมือง และซ่อนตัวบนภูเขาอันห่างไกลจากอาณาจักร ณ ที่นั้น เธอรู้สึกปลดปล่อยจากความกดดันที่เธอพบมาเนิ่นนาน และได้ใช้พลังของเธอสร้างพระราชวังน้ำแข็งอันสวยงามขึ้นมา โดยที่ตลอดเวลานี้เธอไม่รู้เลยว่าพลังความกลัวของเธอทำให้ทั้งอาณาจักรตกอยู่ในสภาพฤดูหนาวชั่วนิรันดร์ที่โหดร้ายทางด้านของอันนา ซึ่งรู้สึกผิดที่เป็นต้นเหตุทำให้พี่ของตนหนีไป จึงรีบออกตามหาเอลซ่าด้วยตนเอง และมอบหมายให้เจ้าชายฮานส์เป็นผู้ดูแลอาณาจักรชั่วคราวแทน ในระหว่างทาง อันนาได้พบกับคริสตอฟฟ์ และสเวน กวางเรนเดียร์คู่ใจของเขา เพื่อให้เขาช่วยนำทางในการตามหาเอลซ่า ทว่าเพียงไม่นานหลังจากทั้งกลุ่มออกเดินทางด้วยกัน ก็ถูกฝูงหมาป่าออกมาไล่ล่า ระหว่างที่ทุกคนหนีเอาตัวรอด คริสตอฟฟ์ต้องเสียเลื่อนหิมะราคาแพงของเขา ด้วยความรู้สึกผิด อันนาจึงขอออกเดินทางต่อด้วยตัวเอง และจะชดใช้ค่าเสียหายให้เขาเมื่อเธอตามหาเอลซ่าพบ คริสตอฟฟ์ แม้จะไม่อยากจะช่วยอันนาในการเดินทางต่อ แต่สเวนก็โน้มน้าวให้คริสตอฟฟ์เปลี่ยนใจและช่วยอันนาตามหาพี่สาวของเธอต่อ ทั้งกลุ่มเดินทางมาพบกับโอลาฟ ตุ๊กตาหิมะที่เอลซ่าสร้างขึ้นระหว่างที่เธอกำลังหัดใช้พลังของเธอในการสร้างพระราชวังน้ำแข็ง โดยที่เอลซ่าเองไม่รู้ว่าโอลาฟนั้นได้มีชีวิตขึ้นมา โอลาฟอาสานำกลุ่มไปพบกับเอลซ่า
เมื่อทั้งพวกเขามาเจอกับเอลซ่าที่พระราชวังน้ำแข็ง อันนาพยายามเกลี้ยกล่อมให้เอลซ่ากลับไปช่วยอาณาจักรให้คืนสู่ฤดูร้อน แต่เอลซ่ากลับยิ่งกลัวที่พลังของเธอรุนแรงขนาดนี้ ทั้งยังเผลอระเบิดพลังความหวาดกลัวของเธอเข้าใส่เข้าหัวใจของอันนา และปฏิเสธที่จะกลับไปยังเอเรนเดลล์ เอลซ่าเสกมนุษย์หิมะขนาดยักษ์ขึ้นมาเพื่อนำพวกเขาออกไปจากวัง ผมของอันนาเริ่มกลายเป็นสีขาว ทำให้อันนาเริ่มกังวล คริสตอฟฟ์อาสาพาอันนาไปหาพวกโทรลล์ ที่ซึ่งเขานับถือเป็นครอบครัว และเพราะเขาเองก็เคยเห็นพ่อแม่ของอันนามาขอความช่วยเหลือจึงรีบออกเดินทางกลับไปยังเอเรนเดลล์ เพื่อให้อันนาได้พบกับฮานส์ที่คิดว่าคือรักแท้ของอันนาขณะเดียวกัน ด้วยความกังวล ฮานส์ได้ออกไปตามหาอันนา โดยมีทหารสองนายของดยุคแห่งวีเซิลตันซึ่งไดรับการกำชับให้สังหารเอลซ่า อาสาร่วมเดินทางไปกับฮานส์ด้วย เมื่อไปถึงพระราชวังน้ำแข็ง ขณะที่ฮานส์ต่อสูกับมนุษย์หิมะยักษ์ที่เอลซ่าสร้าง ทหารของดยุคได้มุ่งหน้าเข้าภายไปในวังเพื่อเตรียมสังหารเอลซ่า เอลซ่าพยายามใช้พลังของเธอต่อสู้กลับพวดเขาและเกือบฆ่าทหารทั้งสอง แต่ฮานส์เข้ามาถึงในเหตุการณ์และขอร้องเอลซ่าให้หยุด ขณะที่ เอลซ่าตั้งสติได้ ทหารของดยุคได้ยกหน้าไม้ขึ้นเตรียมฆ่าเธอ ฮานส์เข้าไปปัดหน้าไม้ขึ้นยิงใส่โคมน้ำแข็งเหนือเอลซ่า เอลซ่าวิ่งหลบแต่ล้มและหมดสติไป ก่อนจะฟื้นในห้องขังที่เอเรนเดลล์ ฮานส์ขอร้องให้เอลซ่าหยุดหิมะนี้ แต่เธอบอกว่าเธอไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร เพียงไม่นาน คริสตอฟฟ์พาอันนากลับมาถึงเอเรนเดลล์ อันนาเล่าเรื่องการกระทำแห่งรักแท้ให้ฮานส์ แต่ก่อนที่ฮานส์จะจุมพิตอันนา ฮานส์ก็ได้เปิดเผยตัวตนออกมาว่าเรื่องที่เขารักอันนาเป็นเรื่องที่เขาสร้างขึ้น การที่เขามีพี่ชายถึงสิบสองคน ทำให้เขาไม่มีทางจะมีอำนาจได้เลย เขาจึงคิดจะแต่งงานกับอันนา ก็เพื่อเตรียมจะยึดตำแหน่งราชาแห่งเอเรนเดลล์ได้หากเขาวางแผนฆ่าเอลซ่าอย่างลับๆได้สำเร็จฮานส์ขังอันนาทิ้งไว้ในห้องให้เธอทนกับความหนาวเย็นจนกว่าจะตาย และหลอกให้เหล่าขุนนางเชื่อว่าเขาได้ให้ปฏิญาณแต่งงานกับอันนาก่อนเธอตาย ทำให้เขาเป็นผู้มีอำนาจอย่างสมบูรณ์ และประกาศให้เอลซ่าเป็นกบฏและสั่งประหารชีวิต แต่เอลซ่านั้นใช้พลังของเธอช่วยหนีออกไปจากที่คุมขังได้เสียก่อน ทว่าความหวาดกลัวของเธอทำให้เกิดพายุหิมะอย่างรุนแรงรอบเอเรนเดลล์ คริสตอฟฟ์และสเวนมุ่งหน้าฝ่าพายุหิมะเพื่อพยายามกลับเข้าไปในวัง ในขณะที่โอลาฟเข้ามาช่วยอันนาเอาไว้ได้และพาเธอหนีออกจากวังเพื่อไปหาคริสตอฟฟ์ ฮานส์ตามหาเอลซ่าในพายุหิมะจนเจอ และหลอกเธอว่าอันนาตายแล้ว เธอล้มลง ด้วยความเสียใจพายุหิมะหยุดนิ่ง อันนาซึ่งกำลังเดินไปหาคริสตอฟฟ์ เห็นฮานส์ที่กำลังคว้าดาบขึ้นมาเพื่อเตรียมสังหารเอลซ่าอยู่ใกล้ๆ จึงได้วิ่งเอาตัวของเธอเข้าไปขวาง ก่อนที่ร่างของเธอจะกลายเป็นน้ำแข็งในเสี้ยววินาทีสุดท้าย ดาบของฮานส์ระเบิดออกและกระแทกเขาจนหมดสติ เอลซ่าหันมาเห็นร่างของอันนาและกอดเธอไว้อย่างเสียใจ ทว่าการกระทำของเอลซ่านั้นเป็นการกระทำแห่งรักแท้ ร่างน้ำแข็งของเธอค่อยๆละลายและกลับมามีชีวิตอีกครั้ง เอลซ่าจึงเข้าใจแล้วว่า ความรักนี่เองที่ทำให้เธอควบคุมพลังของเธอได้ ก่อนที่เธอจะใช้พลังของเธอค่อยๆละลายหิมะที่ปกคลุมไปทั่วทั้งอาณาจักรฮานส์ถูกส่งตัวกลับไปยังอาณาจักรของเขาเพื่อรับโทษ เอลซ่าประกาศตัดขาดทางการค้ากับเมืองวีเซิลตันท่ามกลางคำคัดค้านที่ไร้ผลของดยุค อันนาซื้อรถเลื่อนคันใหม่ให้คริสตอฟฟ์ชดใช้คันที่เสียไป ก่อนที่คริสตอฟฟ์จะจูบเธอด้วยความดีใจ เอลซ่าใช้พลังของเธอเปลี่ยนพื้นที่ในวังเป็นให้เป็นลานน้ำแข็งให้ชาวเมืองได้เพลิดเพลินกันอย่างมีความสุข และบอกอันนาว่าพวกเธอจะไม่มีวันปิดประตูวังอีกต่อไป
ทอยสตอรี่
CR:wikipedia.2561.ทอยสตอรี่.(ออนไลน์).
สืบค้นวันที่24/มกราคม/2561
https://th.wikipedia.org/wiki/ทอย_สตอรี่
ทอย สตอรี่ (อังกฤษ: Toy Story) เป็นภาพยนตร์แอนิเมชันคู่หูแนวตลกผจญภัยสร้างด้วยคอมพิวเตอร์ สร้างโดยพิกซาร์ และจำหน่ายโดยวอลต์ดิสนีย์พิกเชอส์ ภาพยนตร์เป็นงานกำกับเรื่องแรกของจอห์น แลสเซเทอร์ ทอย สตอรี่เป็นภาพยนตร์แอนิเมชันเรื่องยาวเรื่องแรกที่สร้างด้วยคอมพิวเตอร์ทั้งหมด และเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกที่สร้างโดยพิกซาร์เนื้อเรื่องเกิดขึ้นในโลกที่ของเล่นมานุษยรูปนิยมแสร้งทำเป็นไม่มีชีวิตในเวลาที่มนุษย์ไม่อยู่ภาพยนตร์เล่าเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างวูดีตุ๊กตาคาวบอยยุคเก่า (ให้เสียงโดยทอม แฮงส์) และบัซซ์ ไลต์เยียร์ หุ่นแอ็กชันนักดาราศาสตร์ (ให้เสียงโดยทิม อัลเลน) โดยเริ่มจากความเป็นอริแข่งกันเรียกร้องความสนใจจากแอนดี เจ้าของของพวกเขา กลายเป็นเพื่อนร่วมมือกันเพื่อให้ได้กลับมาอยู่กับแอนดีที่กำลังจะย้ายบ้านไปอยู่หลังใหม่ บทภาพยนตร์เขียนโดยจอสส์ วีดอน แอนดรูว์ สแตนตัน โจล โคเฮน และอเล็ก โซโคโลว อ้างอิงเนื้อเรื่องของแลสเซเทอร์ พีต ด็อกเตอร์ สแตนตัน และโจ แรนฟต์ ดนตรีประกอบภาพยนตร์โดยแรนดี นิวแมน และอำนวยการสร้างโดยสตีฟ จอบส์ และเอ็ดวิน แคตมัลล์พิกซาร์ ซึ่งเคยเป็นผู้สร้างภาพยนตร์แอนิเมชันเรื่องสั้นเพื่อส่งเสริมผลิตภัณฑ์คอมพิวเตอร์ได้รับการทาบทามจากดิสนีย์ในการสร้างภาพยนตร์แอนิเมชันสร้างด้วยคอมพิวเตอร์ หลังจากภาพยนตร์เรื่องสั้นของเขาเรื่อง ทินทอย (1988) ประสบความสำเร็จ ซึ่งเล่าเรื่องด้วยมุมมองของของเล่นขนาดเล็กเช่นกัน แลสเซเทอร์ สแตนตัน และด็อกเตอร์เขียนบทรุ่นแรกแต่ถูกดิสนีย์พับทิ้งไป เนื่องจากเขาต้องการให้ภาพยนตร์มีเค้าโครงชัดเจนกว่านี้ หลังจากบทภาพยนตร์ถูกพับทิ้ง การสร้างต้องหยุดลงและมีการเขียนบทขึ้นมาใหม่ และสะท้อนโทนเรื่องและเนื้อหาที่พิกซาร์ต้องการให้เป็นมากขึ้น"โดยลึก ๆ แล้ว ของเล่นต้องการให้เด็ก ๆ เล่นกับพวกเขา และความต้องการนี้ผลักดันให้เกิดความหวัง ความกลัว และการกระทำต่าง ๆ"สตูดิโอมีพนักงานจำนวนไม่มาก และสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ภายใต้ข้อจำกัดเกี่ยวกับการเงินที่น้อยภาพยนตร์ออกฉายในวันที่ 22 พฤศจิกายน ค.ศ. 1995 เคยทำรายได้ในสัปดาห์แรกได้มากที่สุด และทำรายได้ได้ 373 ล้านดอลลาร์สหรัฐทั่วโลกภาพยนตร์ได้รับคำชมจากนักวิจารณ์ โดยยกย่องเรื่องนวัตกรรมการทำแอนิเมชัน บทาภพยนตร์ที่ฉลาดและมีเนื้อหาเข้มข้น และชมการแสดงของแฮงส์และอัลเลน นักวิจารณ์จำนวนมากจัดให้ภาพยนตร์เป็นหนึ่งในภาพยนตร์แอนิเมชันที่ดีที่สุด ภาพยนตร์ได้เข้าชิงรางวัลอะคาเดมีสามรางวัล ได้แก่รางวัลบทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยม ดนตรีประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และเพลงประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจากเพลง "ยูฟกอตอะเฟรนด์อินมี" และได้รับรางวัลสเปเชียลอะชีฟเมนต์อะคาเดมีอะวอร์ด ภาพยนตร์ถูกบันทึกลงในหอสมุดภาพยนตร์แห่งชาติว่า "มีความสำคัญเชิงวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ หรือสุนทรียศาสตร์" เมื่อปี ค.ศ. 2005นอกจากออกจำหน่ายเป็นสื่อเล่นตามบ้านเรือนและฉายในโรงภาพยนตร์แล้ว มีการออกของเล่น วิดีโอเกม สวนสนุก เรื่องแยก สินค้า และภาพยนตร์ภาคต่ออีกสองภาคคือ ทอย สตอรี่ 2 (1999) และทอย สตอรี่ 3 (2010) ทั้งสองภาคประสบความสำเร็จทางรายได้และได้รับการยกย่อง ภาคต่อภาคที่สาม ทอย สตอรี่ 4 มีกำหนดออกฉายในปี ค.ศ. 2019
เนื้้อเรื่องย่อ
ผจญภัยตำนานหมู่เกาะทะเลใต้
ผจญภัยตำนานหมู่เกาะทะเลใต้
CR:wikipedia.2561.ผจญภัยตำนานหมู่เกาะทะเลใต้.(ออนไลน์).
สืบค้นวันที่24/มกราคม/2561
https://th.wikipedia.org/wiki/ผจญภัยตำนานหมู่เกาะทะเลใต้
CR:wikipedia.2561.ผจญภัยตำนานหมู่เกาะทะเลใต้.(ออนไลน์).
สืบค้นวันที่24/มกราคม/2561
https://th.wikipedia.org/wiki/ผจญภัยตำนานหมู่เกาะทะเลใต้
ผจญภัยตำนานหมู่เกาะทะเลใต้ หรือ โมอาน่า (อังกฤษ : Moana) เป็นภาพยนตร์เพลงแอนิเมชั่นสามมิติแนวแฟนตาซีคอมเมดี้และผจญภัย ในปี พ.ศ. 2559 อำนวยการสร้างโดย วอลต์ดิสนีย์แอนิเมชันสตูดิโอส์ จัดจำหน่ายโดยวอลท์ ดิสนีย์ พิคเจอร์ส กำกับโดย รอน เคลเมนท์ และจอห์น มัสเคอร์ ช่วยกำกับโดย ดอน ฮอลล์ และ คริส วิลเลียมส์
เนื้อเรื่องย่อ
หินสีเขียวขนาดเล็กที่เป็นหัวใจลึกลับแห่งการสร้างสรรค์ของเทพเทฟิติ ถูกขโมยโดยมาวอิ มนุษย์ครึ่งเทพซึ่งกำลังวางแผนที่จะมอบเป็นของขวัญให้มนุษย์ ขณะที่มาวอิหนีเขาถูกโจมตีโดยปีศาจลาวา เทคา ทำให้หัวใจของ เทฟิติ และตะขอตกปลาวิเศษของมาวอิ จมหายไปในมหาสมุทร
หนึ่งพันปีต่อมา โมอาน่า ลูกสาวและทายาทของหัวหน้าเกาะเล็กๆที่ชื่อว่า โมทุนุย ในแถบพอลินีเชีย เธอได้รับการคัดเลือกจากท้องทะเลให้เป็นผู้ที่จะนำหัวใจไปคืน แต่พ่อของเธอ ทุอิ มาหาเธอ เขายืนยันว่าเกาะนี้มีทุกอย่างที่ชาวบ้านต้องการ แต่หลายปีต่อมาปลาเริ่มขาดแคลนและพืชผักของเกาะก็เริ่มแห้งแล้ง โมอาน่า เสนอให้ไปไกลกว่าแนวปะการังเพื่อหาปลามากขึ้น ทุอิปฏิเสธคำขอของเธอเนื่องจากการแล่นเรือผ่านแนวปะการังเป็นสิ่งต้องห้ามทาลา คุณย่าของโมอาน่าได้พาโมอาน่าไปยังถ้ำลับที่อยู่หลังน้ำตก ซึ่งเธอได้พบเรือภายในและพบว่าบรรพบุรุษของเธอคือนักแล่นเรือ เป็นนักเดินทางและค้นพบเกาะใหม่ทั่วโลก ทาลาอธิบายว่าพวกเขาหยุดการเดินทางเพราะมาวอิขโมยหัวใจของเทฟิติ ทำให้สัตว์ประหลาดปรากฏตัวในมหาสมุทร จากนั้นทาลากล่าวว่าความมืดของเทคาได้ลุกลามจากเกาะหนึ่งไปสู่อีกเกาะหนึ่งเรื่อยๆ และค่อยๆพรากชีวิตไปทีละช้าๆ ทาลาได้ให้หัวใจแห่งเทฟิติแก่โมอาน่า
ต่อมา ทาลาป่วยหนักและลมหายใจสุดท้ายเธอได้บอกโมอาน่าให้ออกเรือศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในถ้ำนั้นเพื่อตามหามาวอิ ทาลาได้เกิดใหม่เป็นกระเบนราหูและติดตามเธอไปด้วย หลังจากคลื่นไต้ฝุ่นพลิกเรือใบของเธอและซัดเธอจนหมดสติ เธอตื่นขึ้นมาในเช้าวันรุ่งขึ้นบนเกาะที่มาวอิอาศัยอยู่ แต่เขาขังโมอาน่าไว้ในถ้ำและใช้เรือของโมอาน่าเพื่อออกตามหาตะขอตกปลาวิเศษของเขา แต่โมอาน่าหนีออกมาได้ตามมาวอิไป โมอาน่าพยายามโน้มน้าวให้เขาเปลี่ยนใจไปกับเธอ แต่มาวอิปฏิเสธเพราะกลัวว่าพลังของหัวใจแห่งเทฟิติจะดึงดูดสิ่งมีชีวิตที่ร้ายกาจโจรสลัดมะพร้าวที่มีชื่อเรียกว่า กากาโมร่า ล้อมรอบเรือและขโมยหัวใจไป แต่มาวอิและโมอาน่า ก็สามารถนำมันกลับคืนมาได้ มาวอิ ตกลงจะช่วยคืนหัวใจแห่งเทฟิติให้ หลังจากที่เขาได้ตะขอตกปลาวิเศษคืน ซึ่งซ่อนอยู่ใน ลาโลทัย ดินแดนลึกลับที่มีแต่สัตว์ประหลาด พวกเขาได้มันมาโดยการหลอกลวงทามาทอ ปูมะพร้าวยักษ์ เมาอิสอนโมอาน่า เกี่ยวกับวิธีการแล่นเรือและนำทางที่ถูกต้อง เมื่อมาถึงเทฟิติและพยายามเข้าไปยังเกาะที่เทฟิติอาศัยอยู่ แต่ถูกเทคาโจมตี พวกเขาถูกโจมตีอย่างรุนแรงและถูกซัดออกมาจากเทฟิติ ตะขอตกปลาวิเศษของมาวอิเสียหาย เขาไม่ต้องการจะเข้าไปอีก และทิ้งโมอาน่าไปด้วยความวิตกกังวล โมอาน่าขอร้องให้ท้องทะเลนำหัวใจของเทฟิติไปและเลือกคนอื่นเพื่อส่งกลับไปยังเทฟิติ วิญญาณของทาลามาหาเธอและให้กำลังใจแก่ให้โมนาเพื่อหาการเรียกตัวตนที่แท้จริงของเธอ แรงบันดาลใจนั้นทำให้โมอาน่า นำหัวใจแห่งเทฟิติกลับคืนมาและกลับไปยังเทฟิติเพียงคนเดียว มาวอิได้เปลี่ยนใจกลับมารบกวนเทคา ปีศาจลาวาและตะขอของเขาถูกทำลายในการต่อสู้นั้น โมอาน่าตระหนักว่าเทคาก็คือเทฟิติที่ไม่มีหัวใจของเทฟิติ โมอาน่า ขอร้องให้ท้องทะเลช่วยเปิดทางให้เทคาเข้าหาเธอ เธอร้องเพลงเพื่อช่วยให้เทคาจำได้ว่าตัวตนที่แท้ของเธอเป็นใคร ซึ่งช่วยให้โมอาน่ สามารถฟื้นฟูจิตใจของเธอได้ เทฟิติเสกเรือแคนูใหม่ให้แก่โมอาน่า และตะขอตกปลาวิเศษอันใหม่แก่ มาวอิ ก่อนที่จะกลับไปเป็นรูปร่างเกาะเทฟิติเหมือนก่อนโมอาน่า ได้อำลา มาวอิ และกลับไปยังเกาะของเธอที่กำลังฟื้นฟูพร้อมกับ เฮย์เฮย์ ต่อมาชาวบ้านและโมอาน่า (ซึ่งกลายเป็นหัวหน้าคนใหม่ของพวกเขา) เริ่มเดินทางท่องเที่ยวและแล่นเรือไปตามเกาะต่างๆตามที่มาวอิ และทาลาได้มาร่วมกันในร่างของเหยี่ยวยักษ์และร่างของปลากระเบนราหูตามลำดับ
อะลาดิน
CR:wikipedia.2561.อะลาดิน.(ออนไลน์).
สืบค้นวันที่5/มกราคม/2561
https://th.wikipedia.org/wiki/อะลาดิน
อะลาดิน (อังกฤษ: Aladdin, อาหรับ: علاء الدين อะลาอัดดีน) เป็นเทพปกรณัมเรื่องหนึ่งในแถบตะวันออกกลาง ว่าด้วยยาจกหนุ่มชาวจีนชื่อ อะลาดิน ซึ่งกลายเป็นราชาเพราะความช่วยเหลือของทาสยักษ์ เรื่องราวนี้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางขึ้นเมื่ออ็องตวน ก็อลล็อง (Antoine Galland) นักเขียนชาวฝรั่งเศส ประมวลเข้าเป็นนิทานตอนหนึ่งในหนังสือชุด พันหนึ่งราตรี (One Thousand and One Nights) หรือ อาหรับราตรี (The Arabian
เนื้อเรื่องย่อ
"อะลาดิน" หรือในภาษาอาหรับว่า "อะลาอัดดีน" (อาหรับ: علاء الدين, ʻAlāʼ ad-Dīn) และภาษาจีนว่า "อาลาติง" (จีน: 阿拉丁; พินอิน: Ālādīng) เป็นเด็กหนุ่มในคาร์เธ่ย์ วันหนึ่ง พ่อมดแห่งแคว้นมาเกร็บ (Maghreb) ในแอฟริกา ปลอมตัวเป็นพ่อค้าภูมิฐานมายังบ้านของอะลาดิน อ้างว่า เป็นน้องชายหรือพี่ชายของช่างเสื้อมุสตาฟา (Mustapha) บิดาผู้ล่วงลับแล้วของอะลาดิน แล้วขอให้อะลาดินไปเอาตะเกียงน้ำมันดวงหนึ่งซึ่งอยู่ในถ้ำกล (booby-trapped cave) มาให้ เมื่ออะลาดินเข้าไปในถ้ำแล้วก็ติดอยู่ในนั้น ไม่รู้จะทำเช่นไร ก็ลูบมือตนเองอยู่ พลันยักษ์ซึ่งสิงอยู่ในแหวนที่พ่อมดมอบให้ใส่นั้นก็ผุดออกมาและเสนอตัวเป็นข้ารับใช้ อะลาดินจึงให้ยักษ์พาเขาและตะเกียงออกจากถ้ำกลับไปยังเมืองชี่ตันต่อมาเมื่อมารดาของอะลาดินเช็ดถูตะเกียงที่บุตรชายนำกลับมาด้วยนั้น ยักษ์อีกตนหนึ่งซึ่งสิงสู่อยู่ในตะเกียงและมีพลังอำนาจเหนือกว่ายักษ์ตนแรกก็ปรากฏโฉมและเสนอตัวเป็นข้าช่วงใช้เช่นกัน ด้วยความช่วยเหลือของยักษ์ตนนั้น อะลาดินก็มั่งมีบารมีและทรัพย์สินขึ้นมา เมื่อทราบว่า องค์หญิงบัตเตอร์ฟลาย (Badroulbadour) ราชธิดาของพระเจ้ากรุงจีน กำลังจะสมรสกับบุตรชายของเสนาบดี (vizier) อะลาดินจึงให้ยักษ์ขัดขวางการสมรสนั้น และให้ตนได้สมรสกับองค์หญิงแทน ยักษ์ยังเนรมิตปราสาทราชมนเทียรให้อะลาดินเสียใหญ่โตยิ่งกว่าราชวังพระเจ้ากรุงจีนพ่อมดแห่งแคว้นมาเกร็บ เมื่อทราบว่า อะลาดินออกจากถ้ำไปได้ ทั้งได้เป็นใหญ่เป็นโตเพราะฤทธิ์ตะเกียง จึงกลับมายังกรุงจีน ปลอมตัวเป็นพ่อค้าเร่รับแลกตะเกียงเก่าด้วยตะเกียงใหม่ องค์หญิงบัดร์อุลบาดูร์เอาตะเกียงของอะลาดินไปแลกตะเกียงใหม่มา พ่อมดจึงบัญชาให้ยักษ์ในตะเกียงนำปราสาทและทรัพย์สินทั้งหมดของอะลาดิน รวมถึงองค์หญิงผู้ชายา ไปยังแคว้นมาเกร็บ แต่พ่อมดลืมไปว่า อะลาดินยังมีแหวนวิเศษที่ตนเคยให้ไว้อยู่อะลาดินสั่งให้ยักษ์ในแหวนช่วยเหลือ แต่ยักษ์แหวนไม่อาจสู้อำนาจยักษ์ตะเกียง ทำได้แต่เพียงนำพาอะลาดินไปยังแคว้นมักเริบ เมื่อไปถึงแคว้นนั้นแล้ว อะลาดินฆ่าพ่อมดตาย จึงได้กลับครอบครองตะเกียง และให้ยักษ์ในตะเกียงนำปราสาทราชสมบัติและคนรักของตนกลับคืนไปกรุงจีนน้องชายหรือพี่ชายของพ่อมดทราบว่า พ่อมดถูกฆ่าตาย ก็แค้นใจ ปลอมตนเป็นหญิงชรามายังกรุงจีน อ้างว่า สามารถเยียวยารักษาโรคภัยทั้งปวงได้ องค์หญิงบัดร์อุลบาดูร์จึงรับไว้เป็นนางข้าหลวง ยักษ์ตะเกียงเตือนอะลาดินถึงภัยจากนางผู้แปลกปลอมนั้น อะลาดินจึงฆ่านางตาย ทุกคนก็อยู่อย่างสุขสันต์สืบมา ครั้นพระเจ้ากรุงจีนสิ้นพระชนม์แล้ว อะลาดิน ในฐานะราชบุตรเขย จึงได้ครองบัลลังก์ต่อ
วันอังคารที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2561
เงือกน้อยผจญภัย
CR:wikipedia.2561.เงือกน้อยผจญภัย.(ออนไลน์).
สืบค้นวันที่3/มกราคม/2561
https://th.wikipedia.org/wiki/เงือกน้อยผจญภัย
https://th.wikipedia.org/wiki/เงือกน้อยผจญภัย_ภาค_3_ตอน_กำเนิดแอเรียล
เงือกน้อยผจญภัย (อังกฤษ: The Little Mermaid) เป็นภาพยนตร์อนิเมชั่นที่ออกฉายในปี ค.ศ. 1989 ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นภาพยนตร์ภาคแรกในภาพยนตร์ชุด เงือกน้อยผจญภัย ภาพยนตร์เรื่องนี้มีภาคต่อคือ เงือกน้อยผจญภัย ภาค 2 ตอน วิมานรักใต้สมุทร
เงือกน้อยผจญภัย ภาค 3 ตอน กำเนิดแอเรียล (อังกฤษ: The Little Mermaid: Areil's Beginning) เป็นภาพยนตร์อนิเมชั่นที่ออกฉายในปี ค.ศ. 2000 ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นภาพยนตร์ภาคที่สามในภาพยนตร์ชุด เงือกน้อยผจญภัย ต่อจากภาพยนตร์เรื่อง เงือกน้อยผจญภัย ภาค 2 ตอน วิมานรักใต้สมุทร ซึ่งภาพยนตร์ภาคนี้คือการรีบูตภาพยนตร์ภาคแรกขึ้นมาใหม่
เนื้อเรื่อง
เป็นเรื่องราวของเงือกน้อยอายุ 16 ปี ที่มีชื่อว่า "แอเรียล" เธอคือเจ้าหญิงเงือกน้อยสาวแสนสวย ที่ทะเยอทะยานจะใช้ชีวิตนอกมหาสมุทรที่เธออาศัยอยู่ หลายครั้งที่เธอขัดคำสั่งราชาไตรตันผู้เป็นพ่อ บ่อยครั้งที่เธอท่องมหาสมุทรเพื่อสะสมของใช้ของมนุษย์ ไปกับฟลาวเดอร์ปลาน้อย เพื่อนรัก และบ่อยครั้งเหลือเกินที่เธอแอบขึ้นไปบนผิวน้ำ เพื่อฟังคำแนะนำผิดๆถูกๆของสกัตเติ้ลนกนางนวลจอมเซ่อ ซ่า ด้วยความเป็นห่วงแอเรียล ราชาไตรตันจึงมอบหมายให้ปูสีแดงผู้ชำนาญงานดนตรีชื่อ เซบาสเตียนเป็นผู้ดูแล พฤติกรรมของเธอ ทว่าความใฝ่ฝันของแอเรียลยิ่งดูจะจริงจังมากยิ่งขึ้น เมือเธอได้ช่วยชีวิตเจ้าชายอีริคจากอุบัติเหตุพายุกลางมหาสมุทร และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่เธอได้หลงรักกับมนุษย์ ไม่มีใครรู้เรื่องราวในส่วนนี้ของเธอยกเว้น เออซูล่าแม่มดปลาหมึกอันร้ายกาจแอเรียล เงือกสาวแสนสวยที่เต็มไปด้วยความสุขสนุกสนาน กับการผจญภัยพร้อมผองเพื่อนที่แสนน่ารักอย่าง ฟลาวเดอร์ และปูคาริบเบียนที่ชอบร้องเพลงสไตล์เรกเก้อย่าง ซาแบสเชี่ยน แอเรียลต้องอาศัยความมุ่งมั่นอย่างมาก ในการทำให้ความฝันเป็นจริง และยังต้องร่วมมือกับเพื่อนๆ เพื่อช่วยเหลือชีวิตพ่อของเธอที่ถูกแม่มดใจร้าย เออร์ซูล่าจับขังไว้
ซินเดอเรลล่า
CR:wikipedia.2561.ซินเดอเรลล่า(ออนไลน์).
สืบค้นวันที่3/มกราคม/2561
https://th.wikipedia.org/wiki/ซินเดอเรลล่า_(ภาพยนตร์_2015)
https://th.wikipedia.org/wiki/ซินเดอเรลล่า
ซินเดอเรลล่า (อังกฤษ: Cinderella; ฝรั่งเศส: Cendrillon) เป็นเทพนิยายปรัมปราที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงทั่วทั้งโลก มีการดัดแปลงเป็นรูปแบบต่าง ๆ มากมายกว่าพันครั้ง[1] เนื้อเรื่องเกี่ยวกับเด็กสาวกำพร้าผู้หนึ่งที่อยู่ในอุปถัมภ์ของแม่เลี้ยงกับพี่สาวบุญธรรมสองคน แต่ถูกทารุณและใช้งานเยี่ยงทาส ต่อภายหลังจึงได้พบรักกับเจ้าเมืองหรือเจ้าชายผู้สูงศักดิ์ ตำนานซินเดอเรลล่ามีปรากฏในเทพนิยายหรือนิทานพื้นบ้านประเทศต่าง ๆ ทั่วทั้งโลกโดยมีชื่อของตัวเอกแตกต่างกันออกไป ทว่าฉบับที่มีชื่อเสียงที่สุดเป็นของนักเขียนชาวฝรั่งเศสชื่อ ชาร์ล แปโร ในปี ค.ศ. 1697 ซึ่งอิงมาจากวรรณกรรมของ จิอัมบัตติสตา เบซิล เรื่อง La Gatta Cenerentola ในปี ค.ศ. 1634 ในเรื่องนี้ตัวเอกมีชื่อว่า เอลลา (Ella) แต่แม่เลี้ยงกับพี่สาวใจร้ายของเธอพากันเรียกเธอว่า ซินเดอเรลล่า (Cinderella) อันหมายถึง "เอลลาผู้มอมแมม" ซึ่งกลายเป็นชื่อเรียกเทพนิยายในโครงเรื่องนี้โดยทั่วไป ซินเดอเรลล่า ได้รับการโหวตจากเด็ก ๆ กว่า 1,200 คนจากการสำรวจโดย cinema chain UCI เป็นเทพนิยายยอดนิยมอันดับหนึ่งในดวงใจ เมื่อปี ค.ศ. 2004 ผลสำรวจจากกูเกิล เทรนดส์ เมื่อปี ค.ศ. 2008 ก็พบว่า ซินเดอเรลล่า เป็นเทพนิยายที่ได้รับความนิยมและกล่าวถึงมากที่สุดในโลกอินเทอร์เน็ต
เรื่องราวของ เอลล่า (ลิลี เจมส์) ลูกสาวพ่อค้าเศรษฐีผู้มั่งคั่ง ซึ่งหลังจากการตายของแม่เธอ พ่อของเธอก็ได้แต่งงานใหม่กับหญิงม่ายลูกติดนามว่า เลดี้ ทรีเมน (เคต แบลนเชตต์) สตรีหม้าย ภรรยาของเซอร์ฟรานซิส ทรีเมน อดีตหัวหน้าสมาคมการค้าที่เสียชีวิต ด้วยหวังว่าจะมาเป็นแม่ใหม่ เพื่อดูแลลูกสาวคนเดียวของตน แต่หลังจากการตายจากไปของพ่อเอลล่าอีกคน ทำให้ธาตุแท้ของแม่เลี้ยงปรากฏออกมา…เลดี้ ทรีเมน และลูกสาวของเธอ อนาสตาเชีย (ฮอลลิเดย์ เกรนเจอร์) กับ ดริเซลลา (โซฟี แมคชีรา) เข้ามามีอำนาจในการปกครองทรัพย์ของครอบครัวเอลล่าทั้งหมด เอลล่าจำต้องตกอยู่ภายใต้ความอนุเคราะห์ของครอบครัวใหม่ขี้อิจฉาและร้ายกาจนี้ จนสุดท้ายก็ไม่พ้นการเป็นสาวรับใช้ซึ่งรับหน้าที่ดูแลงานบ้านทั้งหมด จนได้ฉายาใหม่จากความเกลียดชังว่า "ซินเดอเรลล่า" หรือ "นางขี้เถ้าเอลล่า" ซึ่งมีที่มาจากเนื้อตัวที่เต็มไปด้วยฝุ่นและเถ้าถ่านฟืนจนกระทั่งวันหนึ่ง หลังจากการต้องเผชิญกับความโหดร้ายที่ถาโถมเข้ามาสู่ชีวิตเธอ เอลล่าก็ได้พบกับชายแปลกหน้ารูปงามในป่า ซึ่งเธอเข้าใจเพียงว่าเป็นเจ้าหน้าที่จากในวัง โดยหารู้ไม่ว่าแท้จริงแล้ว ชายหนุ่มดังกล่าวคือ เจ้าชายชาร์มมิง (ริชาร์ด แมดเดน) บุตรชายของพระราชา ผู้ที่สามารถทำให้เธอได้สมผัสถึงความอ่อนโยนและมีเมตตาอีกครั้งโชคชะตาชีวิตของเอลล่ากำลังจะเปลี่ยนไป เมื่อพระราชวังได้ประกาศเชิญหญิงสาวทั่วเมืองมาร่วมงานเต้นรำ ซึ่งเป้าหมายที่แท้จริงก็เพื่อหาคู่ให้กับเจ้าชาย ทำให้เอลล่ากลับมีความหวังในการที่จะได้เจอกับชายหนุ่มแปลกหน้า ซึ่งเธอไม่รู้ว่าคือเจ้าชาย อีกครั้งแต่แล้ว แม่เลี้ยงใจร้ายของเธอก็ได้ทำลายฝันที่สวยงามลง เมื่อนางสั่งห้ามและฉีกทำลายชุดของเอลล่าจนไม่สามารถไปงานเต้นรำได้ แต่ด้วยความช่วยเหลือจากนางฟ้าแม่ทูนหัวของเอลล่า ซึ่งปลอมตัวมาเป็นเพียงหญิงขอทานข้างถนน ก็ได้แปลงกายให้เธอกลับมาโดดเด่นในงานเต้นรำนี้ได้ในท้ายที่สุด ด้วยฟักทองและหนูเพียง 2-3 ตัว แต่เมื่อถึงเวลาเที่ยงคืน ซินเดอเรลล่าก็รีบหนีไปโดยลืมรองเท้าแก้วเอาไว้ เจ้าชายเก็บรองเท้าไว้ได้จึงประกาศว่าจะทรงแต่งงานกับหญิงสาวที่สวมรองเท้าแก้วนี้ได้เท่านั้นเสนาบดีได้นำรองเท้าแก้วไปตามบ้านต่าง ๆ เพื่อให้หญิงสาวทั่วอาณาจักรได้ลอง จนมาถึงบ้านแม่เลี้ยง เมื่อลูกสาวทั้งสองลองครบแล้ว นางก็โกหกว่าไม่มีหญิงสาวในบ้านอีก พร้อมทำลายรองเท้าแก้วจนแตกละเอียด ทุกคนต่างหมดหวังว่าจะไม่สามารถหาหญิงปริศนาของเจ้าชายพบ แต่สุดท้าย ซินเดอเรลล่าก็หยิบรองเท้าแก้วอีกข้างที่เก็บไว้ขึ้นมาและสวมให้กับเหล่าเสนาได้ดู ทำให้ซินเดอเรลล่าได้แต่งงานกับเจ้าชาย และมีความสุขตราบนานเท่านาน
อลิซในแดนมหัศจรรย์
CR:Gotoknow.2561.อลิซในแดนมหัศจรรย์ (ออนไลน์).
สืบค้นวันที่3/มกราคม/2561
https://www.gotoknow.org › ... › รุ่งทิพย์ กล้าหาญ › สมุด › นิทานพัฒนาคน
อลิซในแดนมหัศจรรย์ (อังกฤษ: Alice in Wonderland) คือภาพยนตร์ผจญภัยแฟนตาซีในปี ค.ศ. 2010 กำกับโดยทิม เบอร์ตัน เป็นผลงานการประพันธ์บทภาพยนตร์ของลินดา วูลเวอร์ตัน นำแสดงโดย มีอา วาซีโควสกา, จอห์นนี เดปป์, แอนน์ แฮททาเวย์, เฮเลน่า บอนแฮม คาร์เตอร์, คริสพิน โกลเวอร์, ไมเคิล ชีน และ สตีเฟน ฟราย ซึ่งเป็นส่วนต่อขยายของวรรณกรรมชุด อลิซท่องแดนมหัศจรรย์ และ ธรูเดอะลุกกิงกลาสส์ ซึ่งภาพยนตร์ได้ใช้เทคนิคการตัดต่อผสมระหว่างการแสดงจริงและแอนิเมชันในภาพยนตร์เป็นการดำเนินเรื่องของอลิซในวัย 19 ปีและกลับเข้าไปยังดินแดนใต้พิภพโดยบังเอิญ สถานที่ซึ่งเธอเคยเข้าไปแล้วเมื่อ 13 ปีที่แล้ว เธอกล่าวว่าเธอเป็นเพียงผู้เดียวที่สามารถสยบแจ็บเบอร์ว็อกกี มังกรร้ายที่ควบคุมโดยเรดควีน ทิม เบอร์ตันกล่าวว่าแต่ดั้งเดิมนั้นเรื่องราว ดินแดนมหัศจรรย์ นั้นเกี่ยวกับเด็กหญิงที่เร่ร่อนจากตัวละครหนึ่งสู่ตัวละครหนึ่ง และเขาไม่รู้สึกถึงความต่อเนื่องของอารมณ์เขาเลยต้องการสร้างความรู้สึกเป็นเรื่องราวมากกว่าเป็นลำดับเหตุการณ์ เขาไม่ได้มองว่าภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นการนำมาสร้างใหม่ อลิซในแดนมหัศจรรย์ ปฐมทัศน์ ณ จัตุรัส Odeon Leicester กรุงลอนดอน ในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2010 และออกฉายในออสเตรเลียในวันที่ 4 มีนาคม ค.ศ. 2010 ในสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักรในวันที่ 5 มีนาคม ค.ศ. 2010 โดยวอลต์ดิสนีย์พิกเจอร์สผ่านระบบ 3 มิติและไอแม็กส์ 3 มิติ และในรูปแบบโรงภาพยนตร์ทั่วไป
เด็กหญิงอลิซรู้สึกเบื่อหน่ายกับการนั่งเล่นริมน้ำกับพี่สาวเธอเฝ้าดูพี่สาวอ่านหนังสือที่เต็มไปด้วยตัวอักษร ด้วยคำถามในใจว่า อ่านหนังสือที่ไม่มีรูปภาพจะสนุกได้อย่างไร และเธอก็เผลอหลับโดยฝันเห็นกระต่ายขาวสวมเสื้อกั๊ก มีนาฬิกาพกวิ่งผ่านเธอ เธอจึงวิ่งตามและลงไปในโพรงกระต่าย ที่นี้เธอพบกับสิ่งมหัศจรรย์มากมาย อาทิ น้ำวิเศษที่ดื่มแล้วตัวสูงหรือเตี้ยได้ เค้กวิเศษกินแล้วร่างกายใหญ่โตหรือหดเล็ก แม้กระทั่งเธอเอง ร่างกายการหดเล็กจนแทบจมแอ่งน้ำตาของตนเอง หรือเห็ดพิเศษที่ทำให้คอยืดยาว อลิซได้พบการแข่งขันวิ่งวุ่นของฝูงนำที่มีนกโดโด้เป็นผู้จัดการแข่งขัน ได้พบหนอนยักษ์สีน้ำเงินที่ชอบสูบควันและอาศัยบนดอกเห็ด ซึ่งมีท่าทีเป็นผู้รอบรู้ในเรื่องต่าง ๆ ได้เจอองครักษ์กบองค์รักษ์ปลา และแมวเซสเซียร์ที่ยิ้มได้หรือการร่วมดื่มน้ำชาวิกลจริตกับสามสหายได้แก่ เจ้าหนูดอร์เมาส์ กระต่ายมีนา และช่างทำหมวก หรือการได้เห็นสนามโครเกต์ของพระราชาและพระราชินีโพแดง ซึ่งเต็มไปไปด้วยทหารไพ่ ทีต้องพยายามเอาใจพระราชินีเพื่อใม่ป้องกันถูกสั่งตัดหัว สนามโครเกต์ของพระราชินีมีเม่นเป็นลูกบอล มีนกฟลามิงโก้เป็นไม้ตีเธอได้เจอเจ้ากริฟฟอนสัตว์เลี้ยงของพระราชินี ได้รับฟังโรงเรียนของเต่า จากเต่าประหลาดซึ่งมีลักษณะพิเศษกว่าโรงเรียนที่อลิสเคยเจอได้เห็นการเต้นระบำกุ้งล็อบเตอร์ และการที่อลิสได้มีส่วนร่วมในการพิจารณาคดีใครขโมยทาร์ตไป ในที่สุดอลิซก็ตื่นจากฝัน และบอกเล่าความฝันที่แสนมหัศจรรย์ให้พี่สาวฟันต่อมา อลิซในแดนมหัศจรรย์ ได้ถูกสร้างเป็นภาพยนตร์แฟนตาซีและนำออกฉายในปี 2553 ซึ่งเป็นเรื่องราวของอลิส คิงเลอร์ สาวน้อยวัย 19 ที่กำลังคิดถึงอนาคตของเธอ การเป็นคนคิดต่างคนอื่นทำให้เธอโดดเดี่ยวเมื่อตกอยู่ภายใต้สายตาของเหล่าหญิงสาวผู้สูงศักดิ์ที่มีจิตใจคับแคบแห่งกรุงลอนดอนในยุควิคตอเรีย อลิซ คิงส์ลีย์ รู้สึกสับสนวิธีการที่จะสร้างสมดุลระหว่างความฝันของเธอกับความคาดหวังของคนรอบข้างหลังจากการสูญเสียบิดาผู้เป็นที่รัก เธอไปร่วมงานปาร์ตี้ในสวน กับแม่และพี่สาวโดยที่เธอไม่รู้เลยว่ามันถูกวางแผนให้เป็นปาร์ตี้งานหมั้นของเธอ และในขณะที่ ฮามิชแอสคอตผู้เย่อหยิ่งกำลังขอเธอแต่งงาน อลิซได้เหลือบไปเห็นกระต่ายสีขาวใส่เสื้อโค๊ตตัวสั้นกับนาฬิกาพกวิ่งข้ามสนามไป เธอจึงวิ่งตามเจ้าขนปุยตัวขาวลงไปในโพรงกระต่ายสู่ดินแดน อันเดอร์แลนด์ ที่เธอเคยมาเยือนเมื่อครั้งยังเด็กแต่ความทรงจำเกี่ยวกับดินแดนและผู้ที่อาศัยอยู่ในดินแดนนี้ของเธอได้เลือนหายไปนานแล้วอย่างไรก็ตามเธอได้กลับมาพบกับเพื่อนวัยเด็กของเธอ ไม่ว่าจะเป็นกระต่ายขาวไวท์แรบบิทซึ่งทำหน้าที่ตามหาและนำพาอลิซมายังอันเอดร์แลนด์ แฝดยักษ์อ้วนจอมป่วน ทวีเดิลดี กับ ทวีเดิลดัม เดอร์เม้าส์ หนูตัวจิ๋ว การที่อลิซจำอันเดอร์แลนด์ไม่ได้ ทำให้ทั้งหมดคิดว่า เธอไม่ใช่อลิซตัวจริง จึงพาเธอไปหาหนอนผีเสื้อแอ๊บโซเลมแอ๊บโซเลม เป็นหนอนผีเสื้อสีน้ำเงินอาศัยบนเดอกเห็ดในป่าเห็ดที่ปกคลุมด้วยหมอกควันเป็นผู้รอบรู้และผู้พิทักษ์ "ออราคูลัม" เอกสารเก่าแก่ที่บันทึกทุกเหตุการณ์สำคัญทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคตในประวัติศาสตร์ของอันเดอร์แลนด์ กระต่ายขาวและทวีเดิลทั้งสองได้พาอลิซมาพบกับแอ๊บโซเลเพื่อที่จะให้ดูว่าเป็นอลิซตัวจริงเสียงจริงที่เคยมาเยือนดินแดนแห่งนี้เมื่อครั้งยังเด็กแอ๊บโซเลมบอกว่า อลิซถูกชะตากำหนดให้มาช่วยอันเดอร์แลนด์ แต่อลิซก็ปฏิเสธขณะนั้นเองทหารของราชินีแดงก็ปรากฏตัวขึ้น จับกระต่ายขาวและแฝดยักษ์ ในขณะที่อลิซและเดอร์เม้าส์สามารถหนีไปได้ ระหว่างทางอลิซได้พบกับเวสเชียร์ แมววิเศษที่พาเธอไปพบกับแมดแฮทเทอร์ ช่างทำหมวกผู้ภักดีกับราชินีขาวและกระต่ายมีนา ซึ่งทั้งสองหลุดรอดจากการจับกุมของราชินีแดงแมดแฮทเทอร์เชื่อว่า อลิสคือตัวจริงที่เคยมาเยือนวันเดอร์แลนด์ในวัยเด็ก จึงเล่าว่า ราชินีแดงได้แย่งชิงบังลังค์จากราชินีขาว และปกครองทุกคนด้วยความกลัว ดังนั้นจะต้องกอบกู้บัลลังค์และช่วยวันเดอร์แลนด์ให้เป็นอิสระ โดยอลิซจะเป็นอัศวินในวันศึกมหัศจรรย์ อลิซไม่เชื่อว่า จะเป็นตนเอง แมดแฮทเทอร์จึงถามว่า ความเป็นอลิสในวัยเด็กหายไปไหน ขณะนั้นราชินีแดงทราบข่าวว่า อลิสมาถึงอันเดอร์แลนด์จึงส่งทหารมาจับ แต่แมดแฮทเทอร์ก็ช่วยเหลือพาอลิสหนี จนกระทั่งตนเองถูกจับ อลิซจึงตัดสินใจช่วยเหลือแมดแฮทเทอร์ โดยการปลอมตัวเข้าไปอยู่ในวังราชินีแดงในนามอัม ราชินีแดงที่อลิสพบคือ คนที่มีหัวที่โตผิดขนาดและอารมณ์อันฉุนเฉียว ชอบสั่งให้ตัวหัวคนเป็นว่าเล่น ทำให้เหยื่อของเธอต่างหวั่นกลัวเธอเป็นอย่างมาก ราชินีแดงเป็นพี่สาวของราชินีขาว...ต่อมาเมื่อเจอแมดแฮทเทอร์จึงวางแผนค้นหาดาบศักดิ์สิทธิ์ของราชินีขาวเพื่อปราบสัตว์ร้ายที่ราชินีแดงใช้ข่มขู่คนให้หวาดกลัว ต่อมาอลิสค้นหาดาบเจอพร้อมกับราชินีแดงทราบว่า เธอคืออลิส จึงสั่งทหารจับตัวแต่แมดแฮทเทอร์ก็ขัดขวาง บอกให้เธอรีบหนีไปหาราชินีขาวราชินีแดงโกรธมากสั่งประหารชีวิตแมดแฮทเทอร์ โชคดีที่แมววิเศษเซสเชียร์มาช่วยไว้ แมดแฮทเทอร์ จึงประกาศเชิญชวนให้ทุกคนต่อต้านราชินีแดง ปรากฏว่า มีคนออกมาร่วมต่อต้านราชินีแดงโกรธมาก จึงสั่งทหารจับและประกาศสงครามกับราชินีขาว เมื่ออลิสพบราชินีขาวผู้อ่อนหวาน เธอมอบดาบให้ราชินีขาว แต่ราชินีขาวกลับให้ดาบนั้นแก่เธอพร้อมทั้งบอกว่าเธอจะเป็นผู้ใช้มันปราบเจ้ากริฟฟอนสัตว์ร้ายของราชินีแดงในวันศึกมหัศจรรย์ แต่อลิสก็ปฏิเสธเพราะเธอคิดว่า คนปราบสัตว์ร้ายไม่ใช่เธอ เมื่อกองทัพราชินีแดงมาประชันถึงเมืองทุกคนรอคำตอบจากอลิส เธอได้ปรึกษากับแอบโซเล็ม และแอ๊บโซเลมได้ท้าทายอลิซให้เข้าร่วมการต่อสู้เพื่อที่จะได้เข้าใจตัวเอง และเพื่อตอบคำถามว่า "เธอคือใคร?"ในที่สุดอลิสก็ตัดสินใจสู้กับสัตว์ร้ายและสามารถเอาชนะได้ที่สุด ราชินีขาวขึ้นปกครองอันเดอร์แลนด์ ราชินีแดงพร้อมทหารคู่ใจถูกเนรเทศ อลิสจึงกลับจากอันเดอร์แลนด์โดยสัญญากับเพื่อนๆ ว่าจะไม่ลืมอันเดอร์แลนด์ ราชินีขาวจึงส่งอลิสกลับสู่ข้างบนในโลกความจริงเมื่ออลิสออกจากโพรงไม้ สู่โลกความจริง ซึ่งฮามิช แอสคอต กำลังรอคำตอบการตกลงแต่งงานจากเธออยู่อลิสตอบปฏิเสธการแต่งงานและบอกกลับแม่และพี่สาวว่า เธอจะยังไม่แต่งงาน แต่จะหางานทำ เพื่อดูแลตนเอง พ่อของฮามิช แอสคอต จึงบอกว่า เมื่อเธอไม่อยากเป็นลูกสะใภ้ก็สามารถมาทำงานด้วย อลิสดีใจมากตอบตกลงทำงานพร้อมทั้งเสนอแผนการค้ากับต่างประเทศและตัดสินใจเดินทางไปค้าขายต่างประเทศภาพยนตร์เรื่องอลิสในดินแดนมหัศจรรย์ มิใช่เพียงความตื่นตาในจินตนาการเท่านั้น หากแต่เป็นความฝันและความกล้าของเด็กสาวคนหนึ่งในการตัดสินใจและเผชิญปัญหา การที่ อลิซลังเลที่จะตัดสินใจในการแต่งงานทั้งที่เธอไม่อยากแต่ง แต่ก็หาทางออกไม่ได้เพราะสภาพสังคมที่เชื่อว่า ชายเป็นผู้มีอำนาจ หากได้แต่งงานกับชายที่ดีมีความพร้อมก็เสมือนกับมีฉัตรแก้วเจ็ดชั้นกั้นภัย หากไม่ได้แต่งงานก็จะขึ้นคานให้คนดูแคลน ต่อมาเมื่อเธอกลับเข้ามาอยู่ในอันเดอร์แลนด์จึงเข้าใจว่า ปัญหาทุกอย่างสามารถแก้ไขได้ด้วยตนเอง เพื่อเชื่อมั่นในพลังอำนาจแห่งตน อนึ่งหนังเรื่องนี้ ยังบอกว่า คนเราย่อมมีคุณสมบัติความเป็นเด็กและความเป็นผู้ใหญ่ในตัว และทุกคนล้วนมีความฝัน หากแต่จะจัดการกับความฝันและความจริงอย่างไร การที่อลิสลงไปในโพรงในหลุมเพื่อสู่อันเดอร์แลนด์ เปรียบได้ดั่งการที่อลิสเกิดการสำรวจจิตไร้สำนึก หรือเบื้องลึกของจิตใจที่ไม่สามารถรับรู้ได้ในยามปกติ
การที่เธอหลบหนีจากโลกของจิตสำนึกหรือโลกความจริง เพื่อเข้ามาพักชั่วคราวในโลกแห่งความฝันความหวังเพื่อหาคำตอบที่เหมาะสมที่สุดเพื่อแก้ปัญหาที่เธอกำลังเผชิญ โดยเธอต้องตอบคำถามว่า "เธอคืออลิซคนนั้นหรือเปล่า" หรือ
"เธอคือคนเดียวกับหนูน้อยอลิซที่เคยมาเยือนแดนมหัศจรรย์เมื่อ 13 ปีที่แล้วรึเปล่า" อาจตีความได้ว่า ชาวอันเดอร์แลนด์กำลังตั้งคำถามให้เธอหันกลับมาพิจารณาตัวเองว่า"เธอกำลังทำในสิ่งที่เธอต้องการจริงๆ หรือเปล่า"
"เธอคือคนเดียวกับหนูน้อยอลิซที่เคยมาเยือนแดนมหัศจรรย์เมื่อ 13 ปีที่แล้วรึเปล่า" อาจตีความได้ว่า ชาวอันเดอร์แลนด์กำลังตั้งคำถามให้เธอหันกลับมาพิจารณาตัวเองว่า"เธอกำลังทำในสิ่งที่เธอต้องการจริงๆ หรือเปล่า"
ย้อนมองเราเองในวันนี้ วันที่เราเติบโตจากวัยเด็กที่เต็มด้วยจินตนาการ สู่โลกของผู้ใหญ่ที่เต็มด้วยภาระรับผิดชอบและความคาดหวังตามบทบาทที่ดำรงอยู่ ในโลกความจริงที่เราใช้ชีวิตประจำวัน อาจทำให้ความฝันเราหล่นหายมากน้อยต่างกันไป บางทีเราอาจต้องกลับสู่โพรงกระต่ายเพื่อสู่อันเดอร์แลนด์เพื่อหาคำตอบว่า ชีวิตคืออะไร
มาเลฟิเซนต์
CR:wikipecia.2561.มาเลฟิเซนต์.(ออนไลน์).
สืบค้นวันที่3/มกราคม/2561
มาเลฟิเซนต์
(อังกฤษ: Maleficent) เป็นตัวละครฝ่ายร้ายจากภาพยนตร์เรื่อง เจ้าหญิงนิทรา (Sleeping Beauty) ของวอลต์ดิสนีย์เมื่อปี 1959 นางประกาศตนเป็น "ประมุขแห่งความชั่วร้ายทั้งปวง" และเมื่อมิได้รับเชิญไปพระราชพิธีสมโภชเดือนเจ้าหญิงออโรรา (Aurora) พระราชธิดาพระเจ้าสเตฟาน (Stephan) นางก็สาปให้พระกุมารีถูกเข็มปั่นฝ้ายตำพระดัชนีและสิ้นพระชนม์ก่อนตะวันลับฟ้าในวันเฉลิมพระชนม์ปีที่สิบหก ตัวละครตัวนี้ดัดแปลงมาจากเทพธิดาใจร้าย (wicked fairy godmother) ในนิทานฝรั่งเศสเรื่อง สาวงามนิทราในป่าไพร (La Belle au bois dormant)มาเลฟิเซนต์ได้ชื่อว่า เป็น "ตัวร้ายตัวหนึ่งในการ์ตูนดิสนีย์ที่ชั่วช้าที่สุด"[1] และในการจัดอันดับตัวร้ายดิสนีย์สามสิบตัวของเว็บไซต์อัลทิเมตดิสนีย์(Ultimate Disney) มาเลฟิเซนต์ก็อยู่ที่หนึ่ง[2] นอกจากภาพยนตร์ข้างต้นแล้ว มาเลฟิเซนต์ยังเป็นตัวละครหลักในเกม คิงดอมฮาตส์ (Kingdom Hearts) ด้วย
ในภาพยนตร์เรื่อง เจ้าหญิงนิทรา มาเลฟิเซนต์ ปรากฏกายครั้งแรกโดยใช้อำนาจเหนือธรรมชาติบันดาลให้เกิดลมพายุใหญ่พัดเข้ามาท่ามกลางท้องพระโรงพระราชวังพระเจ้าสเตฟานขณะประกอบพระราชพิธีสมโภชเดือนเจ้าหญิงออโรรา ตามด้วยอสนีบาตฟาดเข้ามาหน้าพระที่นั่ง เกิดเป็นเปลวเพลิงสีเขียว แล้วนางก็แสดงตัว เมื่อมาแล้วนางก็มีกิริยานอบน้อมต่อพระเจ้าแผ่นดิน แต่กล่าววาจากระทบกระเทียบซึ่งแสดงให้เห็นว่า นางโกรธมากที่ไม่ได้รับเชิญมาในพระราชพิธีนี้เหมือนนางฟ้าองค์อื่น ๆ ครั้นแล้ว นางทูลถามพระเจ้าแผ่นดินถึงเหตุผลที่ไม่ทรงเชิญนางมา นางฟ้าเมร์รีเวทเทอร์ (Merryweather) ก็สอดขึ้นว่า เพราะ "ไม่มีใครต้องการหล่อน" นางจึงแก้เกี้ยวว่า คงเป็นเพียงการเผลอมองข้ามนางไป พระราชินีจึงตรัสขอให้นางอย่าได้ถือโทษ นางก็ทูลตอบว่า เพื่อแสดงว่า นางมิได้โกรธเกรี้ยวเลย นางจะอำนวยพรให้แก่พระกุมารี แล้วนางก็ประกาศว่า เจ้าหญิงออโรราจะเจริญพระชนม์ขึ้นเป็นสตรีผู้พร้อมทั้งความดีและความงาม เป็นที่รักของคนทั้งปวงผู้ได้พบ แต่ก่อนตะวันยอแสงในวันเฉลิมพระชนม์สิบหกชันษา เจ้าหญิงจะถูกเข็มปั่นฝ้ายตำพระดัชนีและสิ้นพระชนม์ แล้วมาเลฟิเซนต์ก็อันตรธานไป เมร์รีเวทเทอร์ที่ยังมิได้ประทานพรให้แก่พระกุมารีจึงบรรเทาคำสาปของมาเลฟิเซนต์เป็นว่า เจ้าหญิงออโรราจะเพียงบรรทมไป และจะเสด็จจากบรรทมก็ต่อเมื่อทรงได้รับการจุมพิตด้วยรักแท้นางฟ้าสามองค์ คือ ฟลอรา (Flora), ฟอนา (Fauna) และเมร์รีเวทเทอร์ ช่วยกันซ่อนพระราชธิดาเอาไว้จนกว่าจะพ้นวันเฉลิมพระชนม์สิบหกชันษา ขณะเดียวกัน มาเลฟิเซนต์สั่งให้ยักษ์มารซึ่งเป็นสมุนของนางช่วยกันตามหาพระราชธิดามาตลอดแต่ก็ไร้ผล นางจึงมอบหมายให้ดีอาโบล (Diablo) นกกาของนาง ออกล่าพระราชธิดา และดีอาโบลก็ได้พบ มาเลฟิเซนต์จึงมาหาพระราชธิดาในเย็นวันเฉลิมพระชนม์สิบหกชันษานั้นเอง และล่อลวงให้ทรงถูกเข็มปั่นฝ้ายทิ่มพระดัชนีสลบไปในหอคอยเปลี่ยวเพื่อให้เป็นที่มั่นใจว่า จะไม่มีผู้ใดมาปลุกพระราชธิดาตามคำของเมร์รีเวทเทอร์ มาเลฟิเซนต์จึงจับเจ้าชายฟิลลิป (Phillip) รักแท้ของพระราชธิดา ไปขังไว้ในบรรพตต้องห้าม (Forbidden Mountains) อันเป็นที่พำนักของนาง แต่นางฟ้าทั้งสามมาช่วยเจ้าชายออกจากที่คุมขังได้ ความทราบถึงมาเลฟิเซนต์ นางจึงพยายามขัดขวางมิให้เจ้าชายไปถึงปราสาทที่พระราชธิดาบรรทมอยู่ โดยบันดาลให้เกิดอุปสรรคต่าง ๆ เช่น สายฟ้า และป่าหนาม แต่ก็ไม่เป็นผล นางจึงเหาะมาขวางหน้าเจ้าชายไว้ และกล่าวว่า จะต่อกรกับเขาด้วย "อำนาจแห่งอเวจี" (all the powers of Hell) แล้วจำแลงกายเป็นมังกรมหึมาเข้าประจันหน้ากับเจ้าชาย ขณะที่เจ้าชายกำลังเพลี่ยงพล้ำและใกล้ถึงความตายนั้นเอง นางฟ้าทั้งสามรวมอำนาจแห่งความดีเสกเป่ากระบี่ของเจ้าชายให้มีฤทธิ์ แล้วเจ้าชายโยนกระบี่นั้นไปปักหัวใจมังกร มังกรหมายจะกระโดดเข้ากัดกินเจ้าชายด้วยกำลังเฮือกสุดท้าย แต่ก็ตกลงจากที่ยืนลงสู่หุบเหวเบื้องล่างถึงแก่ความตาย เห็นแต่กระบี่กายสิทธิ์ปักเสื้อคลุมของมาเลฟิเซนต์ตรึงไว้กับพื้นเบื้องล่าง แล้วกระบี่นั้นกลายเป็นสนิมไป
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)